Qigong and I The Series โดย : ป่าน
เมื่อ อ.สุรศักดิ์ เจ้าสำนักของดิฉัน มาชวนพวกเรานักเรียนชี่กงเขียนเล่าประสบการณ์อย่างสั้นๆ ด้วยเหตุว่า ไม่ว่าอาจารย์จะไปบรรยายที่ไหน คอร์สอะไร สิ่งที่ผู้ฟังชอบฟังมากที่สุดและสร้างแรงบันดาลใจได้ดีที่สุด ก็คือเรื่องราวของคนที่เรียนชี่กงมาก่อนนี่แหละ
แวบแรกในความคิดของดิฉันก็คือ จะเขียนยังไงให้สั้น เพราะเรื่องราวของดิฉันมันยาวน้องๆ สงครามชีวิตโอชินเลยทีเดียว
หลังจากที่คิดสะระตะจนแน่ใจ ดิฉันก็เลยลองขายไอเดียแก่อาจารย์ว่า ทำเป็นซีรีส์เลยดีไหม เขียนเป็นตอนสั้นๆ ต่อเนื่องกันไปเลย ตามประสาคน(เรื่อง)เยอะ
อาจารย์ก็ซื้อไอเดีย ประมาณว่า เมิงอยากทำอะไรก็ทำเถอะ (อาจารย์ไม่ได้หยาบคายแบบนี้ ดิฉันใส่อินเนอร์เข้าไปเอง)
Qigong and I The Series จึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้
ขอยืนยันว่า เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง และดิฉันก็เป็นคนที่มีตัวตนจริง ไม่ใช่ A.I. แต่ดิฉันจำเป็นต้องขอสงวนใบหน้าและชื่อจริงไว้ เหลือแต่ชื่อเล่นดังที่ปรากฏข้างต้น เนื่องจากหน้าที่การงานในปัจจุบันทำให้ดิฉันไม่สามารถออกสื่อได้ แต่ถ้าต่อไปซีรีส์นี้เกิดดังขึ้นมา อาจารย์อาจจะยอมให้ดิฉันจัดงานแฟนมีตติ้งแบบไม่ออกสื่อ แล้วท่านผู้อ่านก็อาจจะได้เจอดิฉันแบบตัวเป็นๆ บ้างก็ได้ (มโน)
เอาล่ะ โหมโรงมาเยอะแล้ว เข้าเรื่องเลยละกัน ดิฉันจะเมาท์เรื่องของตัวเองให้ฟัง มาค่ะ
ดิฉันได้รู้จักชี่กงครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2557 ก่อนหน้านั้นรู้จักแต่ ‘จี้กง’ ละครทีวีจีนที่เคยดูเมื่อตอนเด็กๆ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับชี่กงแต่อย่างใด
มูลเหตุที่ทำให้ดิฉันได้พบเจอกับชี่กงนี้ เนื่องมาจากว่า เพื่อนดิฉันซึ่งทำงานเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการนิตยสารจีนไทย จัดงานเสวนาในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยเชิญ อ.สุรศักดิ์ มาเสวนาเรื่องชี่กง พอดีตอนนั้นดิฉันมีกล้องถ่ายรูปที่พอจะใช้การได้เป็นเรื่องเป็นราว ก็เลยมาช่วยถ่ายรูปงานเสวนาให้เพื่อน
ขอบรรยายสารรูปตัวเองเล็กน้อย เพื่อให้ทุกท่านนึกภาพออก
ตอนนั้นดิฉันอายุ 30 กว่าๆ เป็นคนผอมแห้งแรงน้อย ดูสะเงาะสะแงะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงมาแต่ไหนแต่ไร เท่าที่จำความได้ ในเวลา 30 กว่าปีที่เกิดมา มีช่วงเวลาที่ดิฉันรู้สึกสบายดีนับรวมกันแล้วไม่น่าจะเกิน 1,000 วัน นอกเหนือจากนั้นอีก 10,000 กว่าวันคือต้องป่วยเป็นอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็รู้สึกผิดปกติบางอย่างเสมอ จนกระทั่งปลายปี 2556 หมอตรวจพบว่าดิฉันเป็นโรคโรคหนึ่งซึ่งรักษาไม่ได้ ทำได้แค่ให้ยาเพื่อหน่วงอาการไว้ แต่ปรากฏว่าให้ยามาเกือบปีก็มีผลข้างเคียง ทำให้ดิฉันมีโรคที่รักษาไม่ได้เพิ่มขึ้นมาอีกโรคหนึ่ง และก่อนที่ดิฉันจะมางานเสวนาไม่กี่วัน อาจารย์หมอซึ่งเป็นผู้ใหญ่อายุมากแล้ว เพิ่งจะพูดกับดิฉันด้วยความสงสารว่า “เธอนี่ช่างโชคร้ายจริงๆ”
นี่ก็คือสภาพของดิฉันตอนนั้น ดิฉันแบกกล้องเข้ามาที่งานเสวนาด้วยเบื้องหลังชีวิตแบบนั้นเลย แต่ก็ไม่ได้บอกใคร และเชื่อว่าไม่มีใครรู้ เพราะฉากหน้าดิฉันก็ร่าเริงตามปกติ
ปรากฏว่า นั่นคืองานเสวนาเปลี่ยนชีวิต
เพราะดิฉันได้รู้ว่า ไม่มีโรคใดที่รักษาไม่ได้ เนื่องด้วยในโลกนี้ยังมีวิธีการรักษาโรคอีกมากมาย นอกเหนือจากการแพทย์แผนตะวันตกหรือที่เรียกกันว่าแผนปัจจุบัน
เสร็จงานเสวนา ดิฉันจึงเข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์ อ.สุรศักดิ์
ด้วยความคิดที่ว่า ลองเรียนชี่กงก็ไม่เสียหลาย เพราะไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยแล้วปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม
หลังจากนั้นอีก 1 เดือน ดิฉันก็ได้เข้าเรียนชี่กงครั้งแรก
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
บันทึก อ.สุรศักดิ์
ขอบคุณ จิตใจซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเมตตา กรุณา ป่านตั้งใจเขียนเล่าประสบการณ์ของตนเอง เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ เป็นแนวทางให้แก่ผู้ที่ทุกข์ทรมานด้วยอาการเจ็บป่วยกายและใจ
ครั้งแรกที่พบน้องป่าน สาวน้อยผู้มีดวงตาใสบริสุทธิ์ มีชีวิตชีวา แต่ราศีและออร่าเต็มไปด้วยความหมองคล้ำ พลังชีวิตถดถอย อยู่ในช่วงวิกฤติของชีวิต ตอนที่ป่านมาขอฝากตัวเป็นศิษย์ สิ่งที่อยู่ในใจก็คือ สาวน้อยคนนี้ “โชคดี” ตัดสินใจได้ดี รู้จักคว้า “โอกาส” ที่สำคัญของชีวิต
“ในโลกนี้ ไม่มีโรคใดที่รักษาไม่ได้”