Qigong and I The Series โดย : ป่าน
ชี่กงวิชาแรกๆ ที่ดิฉันได้ฝึก เป็นวิชาที่แม้ฝึกมาจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่รู้สึกว่าง่ายขึ้นเท่าไหร่ นั่นก็คือ วิชาชำระไขกระดูก และวิชาดรรชนีพลังเซน
พูดอย่างสั้นที่สุด วิชาชำระไขกระดูกเป็นวิธีฝึกสมาธิและใช้ลมปราณจัดระบบกระดูกสันหลังและกระดูกทั่วร่าง ส่วนวิชาดรรชนีพลังเซนเป็นการยืนสมาธิและขยับนิ้วเพื่อทะลวงเส้นลมปราณในร่างกาย
ทั้งสองวิชานี้ หลังจากที่เราได้เรียนหลักการพื้นฐาน คือฝึกท่าทาง ฝึกการหายใจ และฝึกกำหนดจิตให้ถูกต้องแล้ว จำเป็นที่เราจะต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอด้วย เพื่อให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลสูงสุด
ที่จริงแล้ว ในการฝึกชี่กง ใครจะฝึกกี่โมงกี่ยามก็ไม่ค่อยจะเป็นปัญหา เพราะเป็นวิชาที่ค่อนข้างยืดหยุ่นได้ตามความสะดวกของแต่ละคน แต่สำหรับดิฉันผู้มีอาการหนักจนเหมือนจะตายอยู่รอมร่อ อาจารย์บอกว่าถ้าฝึกตอนเช้าตรู่จะได้ผลแน่นอนกว่า ก็เลยสั่งให้ดิฉันฝึกตอนตี 5 เป็นเวลา 1 ชั่วโมงทุกวัน
ดิฉันจ๋อยสนิท ทักท้วงอาจารย์ด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า
“เอ่อ…คือว่า…ปกติหนูตื่น 6 โมงค่ะอาจารย์”
“ก็ตื่นเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง” อาจารย์ตอบแบบง่ายมาก
“น่าจะยากนะคะ เพราะหนูนอนดึกมากเลยค่ะ” ดิฉันพยายามเถียง
“นอนกี่ทุ่ม” อาจารย์ถาม
“ไม่ต่ำกว่าเที่ยงคืนค่ะ”
“งั้นก็นอนให้เร็วขึ้น จะได้ตื่นเช้าได้” อาจารย์สรุป
“ไม่ไหวหรอกค่ะอาจารย์” ดิฉันโอดครวญ “งานหนูเยอะมาก ต้องเอากลับมาทำที่บ้านทุกวันเลย กว่าจะได้นอนก็ดึกมากแล้ว”
อาจารย์ยิ้มอ่อน “ไปหาวิธีที่จะทำงานให้เสร็จเร็วขึ้น จะได้ไม่ต้องเอางานมาทำที่บ้าน เพื่อที่จะได้เข้านอนเร็วขึ้น แล้วตื่นมาฝึกตอนเช้า”
ดิฉันฟังแล้วแทบจะหงายหลังผลึ่ง
ทำยังไงละเนี่ย…พูดง่ายทำยากแบบนี้เนี่ย…
ในตอนนั้น ดิฉันมีทางเลือก 2 ทาง
ทางที่ 1 อย่าไปสนใจเลย อาจารย์สุรศักดิ์เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ มาสั่งให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ สั่งแล้วจะมาช่วยกุทำงานรึก็เปล่า เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องซีเรียสหรอก ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ
ทางที่ 2 ถ้าไม่ทำแล้วมีอะไรที่ดีกว่านี้ให้ทำเหรอ ตัวเองก็รู้ตัวอยู่ ว่าป่วยจนจะไม่ไหวแล้ว แถมยังเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ถึงได้ต้องมาเรียน แล้วถ้าจะเรียนครึ่งๆ กลางๆ เพราะไม่ยอมตื่นเช้านี่มันงี่เง่าไปหน่อยไหม เพราะฉะนั้น ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ต้องทำโว้ย!
ไม่นานนัก ดิฉันก็ให้คำตอบกับตัวเองได้ว่า เลือกทางที่ 2 ดีกว่า
ไม่จำเป็นต้องใช้หลักการอะไรมากมายในการคิด เพียงแค่รู้สึกว่าไม่อยากทนกับสภาพของตัวเองอีกต่อไปแล้วเท่านั้นเอง
ดิฉันเข้าใจดีว่า คนเราแต่ละคนก็มี ‘ขีดจำกัด’ ที่แตกต่างกัน ในการที่จะอดทนกับชีวิตเดิมๆ ของตน
บางคนป่วยกระเสาะกระแสะปางตาย ชีวิตแย่สุดขีดแล้วในสายตาคนอื่น แต่ถ้าเขายังโอเคกับสภาพของตัวเองอยู่ ก็คงยังไม่ถึงจุดที่เขาจะอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือทดลองหนทางใหม่ๆ ที่อาจจะทำให้ตัวเองดีขึ้นได้
บังเอิญว่า ดิฉันถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้ว ดิฉันทนตัวเองไม่ไหวแล้ว ก็เลยจำเป็นอยู่เองที่จะต้องเลือกทางที่ 2
ทีนี้เมื่อเลือกแล้ว ก็ต้องหาวิธีให้ได้ว่าจะต้องทำยังไง
ถ้าจะให้ทำแบบที่อาจารย์บอก คือหาวิธึทำงานให้เสร็จเร็วๆ ดิฉันคงทำไม่ได้แน่ เพราะยังไม่เก่งขนาดนั้น และที่จริงการที่ดิฉันไม่สามารถทำงานให้เสร็จได้ในเวลางาน ก็เป็นเพราะมีงานอย่างอื่นเข้ามาแทรกตลอดเวลา ซึ่งดิฉันก็จำเป็นต้องทำเช่นเดียวกัน
ดิฉันจึงเริ่มด้วยการบวกลบคูณหาร ว่าถ้าต้องตื่นตี 5 จะต้องเข้านอนไม่เกิน 5 ทุ่ม ดังนั้น ไม่ว่างานจะเสร็จหรือไม่เสร็จ พอ 5 ทุ่มปุ๊บ ดิฉันจะนอนทันที
พอได้ข้อสรุปดังนี้ ดิฉันก็ลองทำดู ช่วงแรกๆ ก็ขลุกขลักเล็กน้อย เพราะยังติดนิสัยนอนเที่ยงคืนตีหนึ่งอยู่ พอเข้านอนเร็วกว่านั้นก็นอนไม่ค่อยหลับ แต่ไม่ว่าจะหลับกี่ทุ่มกี่ยามก็ตาม เมื่อนาฬิกาปลุกตอนตี 5 ดิฉันก็ลุกทันที จะง่วงจะงัวเงียก็ฝึกไป ฝึกสักพักก็ตื่นเอง แล้วพอตกกลางคืน ด้วยความที่นอนไม่พอเมื่อคืนก่อน ดิฉันก็เลยหลับเป็นตายไปตั้งแต่ยังไม่ 5 ทุ่ม เวลานอนเวลาตื่นก็เลยเริ่มเข้าที่เข้าทางตามที่เซ็ตไว้ และดิฉันก็สามารถตื่นมาฝึกตอนตี 5 ได้ทุกวันจริงๆ
เป็นอันว่า ‘โจทย์อันท้าทาย’ ที่อาจารย์ประกาศิตให้ทำ ดิฉันก็แก้ได้ในระดับหนึ่ง นับเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับวิถีชีวิตตัวเองด้วยการบริหารเวลาให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญอย่างหนึ่งของการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
ส่วนเรื่องการหาวิธีทำงานให้เสร็จเร็วขึ้นนั้น จะสำเร็จหรือไม่…
(โปรดติดตามตอนต่อๆ ไป)
บันทึก อ.สุรศักดิ์
เมื่อ ความคิด เปลี่ยน การกระทำ ก็จะเปลี่ยน
เมื่อ การกระทำ เปลี่ยน
อุปนิสัย ก็จะเปลี่ยน
เมื่อ อุปนิสัย เปลี่ยน
บุคลิกภาพ ก็จะเปลี่ยน
เมื่อ บุคลิกภาพ เปลี่ยน โชคชะตา ก็จะเปลี่ยน
เมื่อ โชคชะตา เปลี่ยน
ชีวิต ก็จะเปลี่ยน