Qigong and I The Series โดย : ป่าน
ดังที่ได้เล่าไปใน Ep.ก่อนๆ ว่า ดิฉันเริ่มต้นฝึกชี่กงโดยฝึกวิชาหลักๆ 2 วิชา คือวิชาชำระล้างไขกระดูกกับดรรชนีพลังเซน และสามารถแหกขี้ตาตื่นแต่ไก่โห่เพื่อลุกขึ้นมาฝึกได้ทุกเช้า จนเวลาผ่านไป 1 เดือนก็สังเกตได้ว่าไม่มีอาการข้อหลุดอีกต่อไปแล้วนั้น ฟังดูเหมือนกับว่าทุกอย่างราบรื่นไม่มีอุปสรรคอะไรเลย แต่ที่จริงในช่วงเวลา 1 เดือนนั้นก็มีเรื่องระทึกขวัญที่บั่นทอนกำลังใจอยู่พอสมควร เป็นต้นว่า…
ในการฝึกวิชาชำระไขกระดูก เราจะต้องขยับกระดูกสันหลังไล่ขึ้นไล่ลงทีละข้อๆ ทั้งในแนวซ้าย-ขวา หน้า-หลัง และหมุนตามเข็ม-ทวนเข็มนาฬิกา จากนั้นก็ค่อยให้กระดูกสันหลังทั้งเส้นขยับอย่างอิสระ เหมือนกับว่ามันมีชีวิตของมันเอง ทั้งหมดนี้ ต้องใช้ทั้งกาย จิต และลมปราณ (ชี่) ประกอบกัน รวมทั้งต้องประสานกับพลังงานของธรรมชาติภายนอกด้วย
ช่วงแรกๆ ที่กระดูกสันหลังเริ่มขยับเองอย่างอิสระ ทำเอาดิฉันกลัวจนไม่กล้าฝึกไปพักหนึ่งเลย ไม่ทราบทุกท่านเคยเห็น ‘ดอกไม้ไหว’ หรือเปล่า ลองนึกถึงดอกไม้เล็กๆ ที่โดนลมพัดพลิ้วไหวไปมา หรือเครื่องประดับผมที่ทำเป็นรูปดอกไม้มีก้านเป็นลวดเล็กๆ เด้งไปเด้งมาก็ได้ กระดูกสันหลังของดิฉันเป็นดอกไม้ไหวแบบนั้นเลยล่ะ
ทีนี้ก็กลัวสิ กระดูกสันหลังคนเรามันเป็นแบบนี้ได้ด้วยเหรอ ทำไปทำมามันจะหักมั้ยเนี่ย ถ้าหลังหักนี่จบเห่เลยนะ…จ๊ากกกก!…ทำไงดีๆๆ
อาจารย์บอกว่าถ้าจะยุติการฝึกต้องค่อยๆ หยุด ต้องค่อยๆ ผ่อนให้มันเบาลงๆ จนหยุดสนิท นี่ก็พยายามผ่อนแล้วไม่เห็นจะเบาลงเลย ดิฉันก็เลยเกร็งขาเกร็งเท้า ให้ร่างกายหยุดขยับอย่างปัจจุบันทันด่วน
ปรากฏว่า ร่างกายภายนอกไม่ขยับแล้ว แต่ยังรู้สึกว่ากระดูกสันหลังขยับอยู่ภายใน ดิฉันก็เลยลงนอนแม่มเลย เผื่อจะช่วยให้สงบเร็วขึ้น
แต่กลายเป็นว่า นอกจากกระดูกสันหลังจะขยับไม่หยุดแล้ว ยังรู้สึกว่าเลือดทุกหยดในร่างกายวิ่งจู๊ดลงไปกองอยู่ที่เท้า แล้วพุ่งจี๊ดขึ้นไปรวมอยู่ที่หัว แล้วก็พุ่งขึ้นพุ่งลงอยู่อย่างนั้น ในขณะที่ร่างกายมีอาการร้อนจี๋เย็นเฉียบสลับกันไปมา
ในใจตอนนั้นคิดว่า ตายแน่ตู ลมปราณแตกซ่านมันเป็นแบบนี้เองใช่ไหม คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วยยยยย
ดิฉันต้องนอนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นพักใหญ่ทีเดียว กว่าอาการจะสงบลงได้ นึกว่าจะตายเสียแล้ว
พอเข้าเรียนในคลาสสัปดาห์ถัดไป ดิฉันจึงเล่าให้อาจารย์ฟัง พร้อมทั้งบอกอาจารย์ว่า หนูไม่ฝึกแล้วนะวิชานี้ หนูกลัว
อาจารย์ยิ้มอ่อนเช่นเดิม สั่งว่า “ไหนทำให้ดูหน่อยซิ”
ดิฉันก็เลยฝึกให้อาจารย์ดู
พอกระดูกสันหลังเริ่มจะเป็นดอกไม้ไหว ก็รู้สึกว่าอาจารย์ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังจิ้มนิ้วลงที่กระดูกสันหลังส่วนเอวของดิฉัน จากนั้นแป๊บเดียวกระดูกสันหลังก็ขยับเบาลงๆ จนเหลือเพียงการขยับอย่างนุ่มนวล
สักพัก อาจารย์ก็ให้ยุติการฝึก โดยให้ดิฉันค่อยๆ ผ่อนการขยับให้เบาลงเรื่อยๆ จนหยุดสนิท
อาจารย์บอกว่า ครั้งต่อไป ถ้าฝึกวิชาอะไรแล้วมีอาการแปลกๆ อย่ากลัว ให้ตั้งสติ แล้วบอกตัวเองว่า เบาลง เบาลง เดี๋ยวมันก็จะเบาลงเอง
ความกลัวจะทำให้เราตกใจ ความตกใจจะทำให้สติหลุด พอสติหลุดสมาธิก็แตก เป็นอุปสรรคแก่การฝึก และเป็นเหตุผล (หรือข้ออ้าง) ที่ทำให้เราเลิกฝึกไปเสียง่ายๆ
คำสอนนี้ ดิฉันได้นำมาใช้เรื่อยมาจวบจนปัจจุบัน ไม่ใช่แค่เรื่องฝึก แต่ทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ แม้แต่ตอนที่โดนโจมตีโดยพลังงานลี้ลับ (ถ้าอาจารย์อนุญาตให้เล่าได้ดิฉันจะเล่าให้ฟัง เหอๆๆ)
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
บันทึก อ.สุรศักดิ์
การฝึกลมปราณ และ วิชาชี่กง ในสมัยโบราณ จัดอยู่ในประเภท “ศาสตร์เร้นลับ”
เป็น “ศาสตร์แห่งจิต” และ “กุญแจไขศักยภาพของร่างกายและชีวิต”
วิชาชั้นสูงที่เป็นของดีจริงๆ จะไม่ยอมถ่ายทอดออกนอกสำนัก
ผู้เป็นอาจารย์จะคัดเลือกศิษย์อย่างเข้มงวด รับเฉพาะผู้มีคุณธรรม และมีศรัทธา มีความตั้งใจจริง
ดังเช่น วิชาในคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น และ ชำระล้างไขกระดูก แห่งวัดเส้าหลิน จัดเป็นสุดยอดวิชา ที่หาคนที่ตั้งใจเรียนได้ยาก หาอาจารย์ ผู้ฝึกสอนจริงได้ยากยิ่งกว่า ยิ่งมีคนเพียงน้อยนิด ที่ฝึกสำเร็จ
ในยุคของสังคมข้อมูลข่าวสารในปัจจุบัน มีคนออกมาสอน “วิชาชั้นสูง” มากมาย น่าเสียดายที่เกือบทั้งหมดไม่ใช่ของจริง ไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของวิชาได้
วิชาชั้นสูงจำเป็นต้องมี “อาจารย์ที่รู้จริง” ถ่ายทอดและดูแล เพราะเมื่อฝึกผิดแนวทาง อาจก่อให้เกิดผลเสียด้านร่างกายและจิตอย่าง แก้ไขได้ยาก